สถานการณ์ “ป่าชุมชน” ไทย


จะด้วยวาทะกรรม “ป่า” กับ “เมือง” หรือพลวัตของความเปลี่ยนแปลงของโลก หรือค่านิยมความทันสมัยของมนุษย์ก็ตามแต่ ล้วนส่งผลให้ “คน” ห่างเหินกับ “ป่า” มากขึ้น ทั้งที่ความจริงแล้ว ชีวิตมนุษย์ขึ้นอยู่กับความอยู่รอดของป่า ไม่ว่าในฐานะที่ป่านั้นเป็นแหล่งต้นน้ำ ที่ดินในการเพาะปลูก แหล่งอาหาร แหล่งยารักษาโรค ปัจจัยจำเป็นในการดำรงชีพของมนุษย์ โดยเฉพาะป่าเขตร้อน (Tropical Forest) ที่เป็นแหล่งความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) ที่กำลังถูกทำลายลงอย่างรวดเร็วในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา
จากกระบวนทัศน์เดิมที่รัฐมองว่า รัฐเป็นเจ้าของป่า ป่าเป็นแหล่งผลิตไม้เพื่อเศรษฐกิจ การจัดการป่าจึงเป็นหน้าที่ของรัฐ ประชาชนแตะต้องไม่ได้ แม้คนเหล่านั้นจะตั้งรกรากอยู่อาสัยมาก่อนที่รัฐจะขีดเส้นแบ่งเขตป่า และพวกเขามักตกอยู่ในสภาผู้บุกรุก และทำผิดกฎหมายของรัฐ นอกจากจะก่อให้เกิดการทำลายป่าอย่างกว้างขวางแล้ว ยังเกิดความไม่เป็นธรรมในการกระจายผลประโยชน์จากทรพยากรส่วนรวมอีกด้วย
มีการเสนอให้เปลี่ยนแปลงปรัชญาในการจัดการป่าเสียใหม่ โดยหวังผลหลัก 2 ประการ คือ ไม่ทำลาย ทั้งยังรักษาและฟื้นฟูสภาพระบบนิเวศให้ดีขึ้น ในขณะเดียวกันก็หาทางให้ผู้คนรอบๆ ป่าและในป่า ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่และเป็นกลุ่มคนผู้เสียเปรียบในสังคม ได้รับประโยชน์จากที่ดินในป่าและทรัพยากรจากป่ามากขึ้น โดยใช้แนวทาง “ป่าชุมชน” (Community Forestry) ทางเลือกในการจัดการทรัพยากรป่า โดยมีชุมชนเป็นฐาน เป็นรูปแบบและความสัมพันธ์ทางสังคมอันเกิดจากการใช้ทรัพยากรที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการดำรงชีวิตที่ต้องอาศัยป่าหรือที่ดินรอบๆ ป่า เพื่อการเพาะปลูกและการอุปโภคบริโภค โดยอาศัยป่าเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร เป็นแหล่งที่มาของอาหาร สมุนไพร วัสดุเพื่อการสร้างที่อยู่อาศัย เครื่องมือ การผลิตเชื้อเพลิง และประโยชน์ใช้สอยอื่นๆ ภายในชุมชน เมื่อชีวิตของชุมชนขึ้นอยู่กับความอยู่รอดของป่าแล้ว ชุมชนก็จะเห็นความสำคัญในการรักษาป่า
สถานการณ์ป่าชุมชนในประเทศไทย ปัจจุบันมีป่าชุมชน (ตามพระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562) จำนวนทั้งสิ้น 13,028 หมู่บ้าน มีพื้นที่ป่ารวม 6,295,718 ไร่ 6 งาน 198 ตารางวา โดยภาคเหนือมีพื้นที่ป่าชุมชนมากที่สุด รองลงมาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ ตามลำดับ และ 5 จังหวัดแรกที่มีพื้นที่ป่าชุมชนมากที่สุด คือ เชียงใหม่ 868,419 ไร่ (219 หมู่บ้าน) รองลงมาเป็น ลำปาง 721,354 ไร่ (387 หมู่บ้าน), แพร่ 289,785 ไร่ (446 หมู่บ้าน), พิษณุโลก 254,307 ไร่ (152 หมู่บ้าน) และ แม่ฮ่องสอน 231,358 ไร่ (87 หมู่บ้าน) นอกจากนี้ยังมีชุมชนอีกหลายหมู่บ้าน ที่จัดการอนุรักษ์ป่าในพื้นที่ของตนเองในรูปแบบการจัดการที่หลากหลายตามสภาพภูมินิเวศน์ วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และสังคม ที่ยังไม่ได้รับอนุมัติเป็นป่าชุมชนตามกฎหมาย
วัตุประสงค์ของการจัดการป่าชุมชนแต่ละแห่งนั้นแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความจำเป็น หรือความต้องการของชุมชนที่มุ่งหวังได้รับจากป่าชุมชน การจัดการป่าชุมชนจึงขึ้นอยู่กับการตอบสนองวัตถุประสงค์ของชุมชนที่กำหนดไว้ รวมถึงระดับการมีส่วนร่วมและการจัดการที่อาจมีความเข้มข้นและความหลากหลายที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับชุมชนเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ป่าชุมชนจะต้องเอื้อประโยชน์ต่อชุมชนได้ตามความต้องการจึงจะเกิดความยั่งยืน โดยภาพรวมอาจกล่าวได้ว่า หลักๆ แล้วนั้นป่าชุมชนในประเทศไทยก่อให้เกิดประโยชน์ 3 ด้าน ได้แก่
- ประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อม – เป็นโยชน์ด้านแรกๆ ที่ชุมชนมักให้ความสำคัญกับป่าชุมชน เพื่อแก้ไขบรรเทาปัญหาที่สำคัญของชุมชน ได้แก่ การเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารอันส่งผลต่ออาชีพเกษตรกรรม การอุปโภค และบริโภคในครัวเรือน การเป็นแหล่งทรัพยากรของชุมชน ด้านสุขภาพ การป้องกันการกัดเซาะของหน้าดิน การอนุรักษ์คุ้มครองสัตว์ป่า และรักษาความหลากหลายทางชึวภาพให้อุดมสมบูรณ์
- ประโยชน์ด้านสังคม – รูปแบบการรับประโยชน์ด้านสังคมของป่าชุมชนในแต่ละแห่งแตกต่างกันไป ที่สำคัญคือ การสร้างความร่วมมือ สามัคคีกันที่ส่งผลต่อการทำกิจกรรมอื่นๆ ในชุมชน ทั้งในด้านความเชื่อ ศาสนา การประกอบอาชีพ การรวมกลุ่มวิสาหกิจ การใช้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ การเป็นแหล่งเรียนรู้ธรรมชาติและแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ และในบางแห่งอาจมีการสร้างเครือข่ายป่าชุมชน เชื่อมโยงความร่วมมือกับหมู่บ้านอื่น ทั้งในระดับตำบล อำเภอ จังหวัด และภูมิภาค
- ประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจ – ที่ผ่านมาชุมชนใช้ประโยชน์ทางเสรษฐกิจจากป่าชุมชนได้เพียงส่วนน้อย เนื่องจากข้อจำกัดทางด้านกฎหมาย ส่วนใหญ่จะเป็นการหาของป่า สมุนไพรตามที่กฎหมายเอื้ออำนวยเพื่อการบริโภคและอุปโภคในครัวเรือน ซึ่งนับเป็นการลดรายจ่ายครัวเรือน หรือในบางชุมชนรวบรวมจำหน่าย หรือแปรรูปเป็นสินค้าเพิ่มมูลค่า หรือในที่ดินบางประเภทอาจสามารถตัดไม้ยืนต้นที่มีอยู่เพื่อจำหน่ายได้ ทั้งนี้ เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
หากมองอย่างเป็นกลาง และพิจารณาถ้วนถี่แล้ว นอกจากป่าชุมชนจะอำนวยประโยชน์แก่ชุมชนและผู้เกี่ยวข้องในทุกด้านควบคู่กันไปแล้ว ประโยชน์แต่ละด้านดังกล่าวอาจมีการยกระดับสูงขึ้นกว่าที่ได้รับในปัจจุบัน ถ้ามีการจัดการหรือดำเนินกิจกรรมอย่างสมดุล ความเป็น “ป่าชุมชน” จึงไม่ได้หมายถึงเพียงแค่ “ป่าที่อยู่ในหมู่บ้าน” หรือ “ป่าของชุมชนใดชุมชนหนึ่ง” แต่ป่าชุมชนที่แท้จริงนอกจากจะเป็นแหล่งอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ความหลากหลายทางชีวภาพ วิถีชุมชน วัฒนธรรมชุมชน ป่าชุมชนยังมีความหมายในทางการพัฒนาด้วย ทั้งด้านการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน สร้างความรักสามัคคี สร้างเศรษฐกิจ และสร้างการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ในการกระจายอำนาจความเป็นเจ้าของ เป็นผู้ใช้อำนาจในการจัดการและได้รับประโยชน์จากทรัพยากรในชุมชน